วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังตะลุง


 

 หนังตะลุง

     
 ประเทศไทย  ประกอบด้วยคนในชาติที่มีความหลากหลายแตกต่างกันไป  ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นมีศิลปะประเพณีที่แตกำต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น  ไม่ว่าจะเป็นการฟ้อนการ่ายรำอันสวยงามของชาวภาคเหนือ  การเซิ้งหรือแสดงหมอลำของชาวภาคอีสาน  การร้องเล่นลำตัดของชาวภาคกลาง หรือหนังตะลุงที่จะนำมาเสนอเป็นบทความนี้ก็เป็นศิลปะประจำถิ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวบ่งบอกความมีอารยะธรรมและประเพณี  ความมีคุณค่า  บ่งบอกวิถีชีวิตความเป็นอยู่  ความเชื่อต่างๆ  และรากเหง้าของคนในสังคมหรือชุมชนที่อาศัยอยู่แต่ละพื้นที่
                                

             หนังตะลุง  ศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาคใต้  เชื่อกันว่ากำเนิดมาจากจังหวัดพัทลุง  ปัจจุบันสิ่งที่บ่งบอกว่าจังหวัดพัทลุงเป็นต้นกำเนิดการแสดงหนังตะลุงนั้น  เราจะเห็นได้จากคำขวัญประจำจังหวัดพัทลุงที่ว่า  เมืองหนังโนราห์  อยู่นาข้าว  พรราวน้ำตก  แหล่งนกน้ำ  ทะเลสาปงาม  เขาอกทะลุ  น้ำพุร้อน  คำว่าเมืองหนัง  ก็คือพัทลุงเป็นดินแดนที่ให้กำเนิดหนังตะลุง  และการแสดงพื้นบ้านอีกอย่างหนึ่งคือ  มโนราห์  การแสดงหนังตะลุงนั้นในระยะต่อมามีการขยายการแสดงออกไปยังจังหวัดใกล้เคียงทั่วภาคใต้ หนังตะลุงนั้นเป็นการเล่าเรื่องราวนิยายแบบการร้องกลอนสด  หรือเราเรียกกันว่า  การว่าบท  เป็นลัการะของกลอนแปด  เนื้อหาของเรื่องที่นำมาแสดงหนังตะลุงนั้นเปรียบให้เห็นง่ายๆเลยก็คือ  เหมือนละครแนวจักรๆวงศ์ๆ  ตามที่เราๆท่านๆได้ดูในตอนเช้าของวันเสาร์  อาทิตย์  หากแต่แตกต่างตรงที่ว่าการแสดงหนังตะลุงนั้นเป็นการแสดงเรื่องราวผ่านจอหนังซึ่งเป็นจอผ้าใบ  เป็นการร้องกลอนสดของศิลปินหนังตะลุง  ซึ่งเราชาวปักษ์ใต้นั้นเรียกศิลปินหนังตะลุงว่า  นายหนัง 
                                         
           
 
 
 ข้าพเจ้าจำได้ว่าบิดาของข้าพเจ้าได้หอบหิ้วเอาข้าพเจ้าไปด้วยเกือบทุกครั้งเมื่อท่านรับงานแสดงหนังตะลุง ข้าพเจ้าได้จดจำทั้งทำนองท่วงท่าและรูปตัวหนังตะลุงที่ใช้ในการแสดงหนังตะลุงไว้อย่างแม่นยำ ซึ่งตัวรูปหนังตะลุงนั้นเหมือนกับละครจักรๆวงค์ๆทั่วไปที่เราดูกันคือมีรูปตัวพระตัวนาง รูปกษัตริย์ รูปมเหสี รูปตัวตลก ซึ่งตัวตลกบางตัวสันนิฐานว่าเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยุ่จริงในอดีต เช่น
 
            

นายเท่ง
 เป็นชาวอำเภอสะทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นคนผอมบางตัวดำคล้ำตามรูปแบบชาวปักษ์ใต้ มีลักษณะพิเศษคือนิ้วมือขวาโตคล้ายอวัยวะเพศชาย ชอบพุดจามีหลักการ ส่วนใหญ่เท่าที่พบเห็นนายหนังมักจะสอดแทรกความรู้ด้านข่าวสารบ้านเมืองเมื่อออกรูปนายเท่ง
 
 นายหนูนุ้ย  เป็นคนสติไม่สมประกอบ ผิวดำและเตี้ย ปากยื่นออกมาเหมือนปากวัว มักจะโดนล้อประจำว่าเป็นลูกของวัว  ถือกรรไกรหนีบหมากเป็นอาวุธ  เป็นตัวตลกที่เคียงคู่กับนายเท่ง
 
  นายยอดทอง  เป็นชาวจังหวัดพัทลุง  ลักษณะผมหยิกเป็นลอน  จมูกยื่น  ปากบุ๋ม หน้าเหมือนจระเข้  ชอบพูดจาโอ้อวดเกินจริง  ขี้ขลาด เอางานเอาการไม่ได้  มักได้รับบทให้เป็นเพื่อนของนางเอกของเรื่องเสมอจนมีนิสัยบ้านายผู้หญิง  ปักษ์ใต้เราเรียกว่า ยอดทองบ้านาย
 
 
นี่คือตัวละครที่เป็นตัวตลกบางส่วนที่กล่าวได้ว่าทุกโรงทุกคณะต้องมีเหมือนกัน  ตัวละครเหล่านี้คือสีสันในการแสดงหนังตะลุงของภาคใต้เรา  อาจะกล่าวได้ว่าตัวละครเหล่านี้เด่นกว่าตัวละครตัวพระและตัวนางเสียอีก  ส่วนในการให้เสียงนั้นตัวละครทุกตัวจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปเช่น  นายเท่งนายหนังจะต้องให้เสียงทุ้มๆน่าเชื่อถือ  ส่วนเสียงนายหนูนุ้ยจะเสียงแหลมเล็ก ออกไปทางซื่อๆเป็นต้น  
 
ส่วนขั้นตอนในการแสดงหนังตะลุงนั้นเริ่มจากการตั้งโรงหนัง โดยสมัยก่อนเจ้าภาพที่รับหนังตะลุงไปแสดงจะมีการปลุกเรือนหรือปลูกโรงหนังตะลุงไว้ให้พร้อมเพื่อรอให้นายหนังได้เริ่มแสดงได้เลย แต่ปัจจุบันนายหนังได้มีโรงหนังส่วนตัวซึ่งคณะของบิดากระผมก็เป็นเช่นนี้ด้วย  คือการใช้โรงหนังเหล็กสำเร็จรูปเมื่อจะทำการแสดงก็ประกอบกันตรงนั้นได้เลย
 
 
       

     ขั้นตอนต่อมานายหนังจะทำพิธีทางไสยศาสตร์โดยการ ออกรูปพระฤาษีเพื่อบูชาครูบาอาจารย์ เพราะนายหนังทุกคนจะมีครูบาอาจารย์ที่ตัวเองนับถือหรือได้ร่ำเรียนวิชามา
    ลำดับต่อมาเป็นการ ออกรูปพระอิศวรทรงโคหางขาวเป็นการ บูชาเทพเจ้าแห่งความบันเทิง ตามคติของชาวปักษ์ใต้เราโดยจุดสำคัญในการออกรูปนี้ เพลงบรรเลงจะคึกคักดุดัน เร้าใจ 
  ขั้นตอนถัดไปคือการออกปรายหน้าบท ความหมายของปรายหน้าบทคือการอภิปรายบอกกล่าวท่านผู้ชมก่อนการแสดง ด้วยนิสัยและวัฒนธรรมทางภาษาของคนใต้ที่ชอบพูดสั้นคำว่าอภิปรายเลยเหลือแค่คำว่าปรายนั่นเอง อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการแนะนำตัวนายหนังให้ผู้ชมรับทราบ กราบขอบพระคุณผู้ที่เข้ามาชม กล่าวขอขมาเมื่อมีการแสดงที่ผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
  
ลำดับถัดมาจะเป็นการ ออกรูปบอกเรื่อง ว่าทางคณะจะเล่นเรื่องอะไร  เล่าเรื่องย่อๆของเรื่องที่จะแสดง  ขั้นตอนนี้นายหนังจะออกรูปโดยใช้รูปตัวตลกในการบอกเรื่อง  ในการเริ่มต้นแสดงหนังตะลุงนั้นฉากแรกที่นายหนังจะปักรูปลงดำเนินเรื่องราวนายหนังจะปักรูปตั้งเมือง  คือการออกรูปกษัตริย์หรือพระราชา กับมเหสี  ถ้านึกภาพไม่ออกท่านผู้อ่านลองจำลองภาพกษัตริย์ออกท้องพระโรงว่าราชการ  ในภาพยนตร์หรือ ละครจักรๆวงค์ๆจะมีลักษณะเดียวกันจากนั้นก็เริ่มแสดงดำเนินเรื่องราวไปเรื่อยๆจนจบการแสดง หรือ ถึงเวลาอันสมควร

          ศิลปะการแสดงหนังตะลุงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวปักษ์ใต้  เป็นวัฒนธรรมทางการแสดงและภาษา  นับวันได้เลือนหายออกไปจากสังคมไทย หรือแม้แต่สังคมชาวปักษ์ใต้  มีผู้ที่สานต่อลมหายใจทางศิลปะแขนงนี้เพียงไม่กี่ท่านซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น  เพราะการเข้ามาแทนที่ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ค่านิยมใหม่ๆรวมไปถึงการคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมต่างชาติของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่  ซึ่งในทางกลับกันคนรุ่นใหม่ควรที่จะ ต้องอนุรักษ์  รักษา  ความเป็นท้องถิ่นของเรา  การคลั่งไคล้วัฒนธรรมต่างชาติที่เกินขอบเขตไป และไม่เหลียวหลังกลับมามองสิ่งที่เป็นความดีงามของท้องถิ่นของเราประเทศของเรา  สิ่งเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติของเราอย่างยิ่ง  เราอาจจะต้องกลายเป็นชนชาติที่เป็นทาสทางวัฒนธรรมของชนชาติอื่น
 
       ข้าพเจ้าเป็นลูกหลานชาวปักษ์ใต้แท้ๆ และยังเป็นลูกนายหนังย่อมมีส่วนที่จะต้องช่วยกันต่อลมหายใจให้กับศิลปะการแสดงหนังตะลุง  ข้าพเจ้าตั้งใจอย่างเต็มที่เพื่อให้งานชิ้นนี้ ออกมาอย่างดีที่สุดพยายามให้เข้าใจง่าย หรือ ไม่สับสนจนเกินไป  เพื่อให้เป็นองค์ความรู้ที่มีประโยชน์ต่อสาธารณะชนโดยผ่านจากการถ่ายทอดประสบการณ์ของข้าพเจ้า  

ลิเกฮูลู


 ลิเกฮูลู 
ลิเกฮูลู เป็นการละเล่นพื้นบ้านแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับความนิยมมากประเภทหนึ่ง คำว่า“ลิเก” หรือ “ดิเกร์” เป็นศัพท์เปอร์เซีย มีความหมาย ๒ ประการ คือ
          ๑. หมายถึงเพลงสวดสรรเสริญพระเจ้า ปกติการขับร้องเนื่องในเทศกาลวันกำเนิดพระนบี ชาวมุสลิมเรียกงานเมาลิด เลยเรียกการสวดดังกล่าวนี้ว่า “ดิเกร์เมาลิด”
          ๒. หมายถึงกลอนเพลงโต้ตอบนิยมเล่นกันเป็นกลุ่มหรือเป็นคณะ เรียกว่า “ลิเกฮูลู”บางท่านเล่าว่าลิเกฮูลูได้รับแบบอย่างมาจากคนพื้นเมืองเผ่าซาไก ซึ่งมีการเล่นอย่างหนึ่งเรียกตามภาษามลายูว่า “มะนอฆอ ออแฆสาแก” แปลเป็นภาษาไทยว่า มโนห์ราคนซาไก กล่าวคือ เขาเอาไม้ไผ่มาตัดท่อนสั้นทะลวงปล้องออกให้กลวงหัวกลวงท้ายแล้วเอาเปลือกไม้หรือกาบไม้ เช่น กาบหมาก มาหุ้ม หรือ เสียบติดไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเปิดไว้ แล้วใช้ไม้หรือมือตีข้างที่หุ้ม ทำให้เกิดเสียงดัง แล้วร้องรำทำเพลงขับแก้กัน ตามประสาชาวป่า ว่ากันว่ากระบอกไม้ไผ่ที่หุ้มกาบไม้ข้างหนึ่งนั้น ได้กลายเป็นรำมะนาและบานอ ที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้
         ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ลิเกฮูลูเอาแบบอย่างการเล่นลำตัดของไทยผสมเข้าไปด้วย บางท่านเล่าว่า ในสมัยปกครอง ๗ หัวเมือง ถ้ามีงานพิธีต่าง ๆ เช่น เข้าสุหนัต มาแกปูโละ เจ้าเมืองต่าง ๆ มาร่วมพิธีและชมการแสดงเช่น มะโย่ง โนรา และละไป ละไปนั้น คือ การร้องเพลงลำตัดภาษาอาหรับและเรียก “ซีเกร์มัรฮาแบ” การร้องเป็นภาษาอาหรับ ถึงแม้จะไพเราะแต่คนไม่เข้าใจ จึงนำเอาเนื้อเพลงภาษาพื้นเมือง ร้องให้เข้ากับจังหวะรำมะนา จึงกลายมาเป็นลิเกฮูลูสืบทอดจนถึงปัจจุบัน

วิธีการละเล่น ก่อนการแสดงลิเกฮูลูนั้น จะมีการร้องปันตนอีนัง ก่อน
          กล่าวกันว่าเจ้าเมืองตานีสมัยอดีต มักเรียกคณะปันตนอินังที่มีชื่อเสียงเข้าไปแสดงในวัง โดยเฉพาะเนื่องในพิธีเข้าสุหนัดลูกชาย ต่อมาคณะปันตนอินังก็เปลี่ยนมาแสดงลิเกฮูลู ชาวบ้านมักเรียกการแสดงประเภทนี้แตกต่างกัน เช่น ที่กลันตันเรียก “ลิเกบารัต” หรือ “บาฆะ” (ลิเกตะวันตก) ปัตตานี เรียก “ลิเกฮูลู” (ลิเกเหนือ)

          ผู้เล่นลิเกฮูลูหลายท่านกล่าวถึงการฝึกว่า บางคนข้ามฝั่งไปเรียนที่กลันตัน โดยใช้เวลาประมาณ ๑ เดือนสมัยโบราณไม่มีการฝึกหัดผู้หญิงเล่นลิเกฮูลู แต่สมัยนี้ดาราลิเกฮูลูหลายคนเป็นหญิง เช่น คณะเจ๊ะลีเมาะ ซึ่งมีลูกคู่เป็นหญิงล้วน และบางคนเป็นดาราโทรทัศน์อันเป็นยอดนิยมของมาเลเซียปัจจุบันลิเกฮูลูเป็นยอดนิยมของชาวไทยมุสลิม นอกจากจะแสดงในงานมาแกปูโละ งานสุหนัต งานเมาลิด งานฮารีรายอแล้ว แม้แต่สถานีวิทยุในท้องถิ่นก็จัดรายการเสนอลิเกฮูลูและเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านทั่วไป
                                  

           cr :http://www2.pattani.go.th

มโนราห์


        มโนราห์

              

    มโนราห์ หรือ โนราที่คนใต้เรียกชื่อกล่าวขานกัน แรกเริ่มได้เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา ได้รับอิทธิพลจากอินเดียโบราณ มีเครื่องดนตรี
ประกับ คือ โหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ เรียกว่า เบ็ญจสังคีต ซึ่งเกิดขึ้นครั้งเรียกที่ เมืองพัทลุง หรือปัจจุบันคือ ตำบลบางแก้ว จังหวัดพัทลุง เป็น
ศิลปะถ่ายทอดมาจากรุ่นบรรพชนสู่รุ่นลูก รุ่นหลาน จนสืบกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
เครื่องดนตรีของมโนราห์ประกอบไปด้วย
          ๑. ทับ (โทนหรือทับโนรา)
 
          ๒. กลอง เป็นกลองทัดขนาดเล็ก
 
          ๓. ปี่ เป็นเครื่องเป่าเพียงชิ้นเดียว
          ๔. โหม่ง คือ ฆ้องคู่
 
          ๕. ฉิ่ง
 
          ๖. แตระ หรือ แกระ คือ กรับ มี ทั้งกรับ
                                                        
เครื่องแต่งกายของมโนราห์ ประกอบด้วยสิ่งสำคัญต่อ ไปนี้
          ๑. เทริดเป็นเครื่องประดับ ศรีษะของตัวนาย ๒.เครื่องลูกปัด เครื่องลูกปัดจะร้อยด้วยลูกปัดสี ๓. ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักทำด้วย
แผ่นเงินเป็นรูปคล้ายนก ๔. ซับ ทรวง หรือทับทรวง หรือตาบ สำหรับสวมห้อยไว้ตรงทรวงอก ๕. ปีก หรือที่ชาวบ้าน เรียกว่า หางหรือหางหงส์
นิยมทำด้วยเขาควาย มีพู่ทำด้วยด้ายสีติดไว้ เหนือปลาย ปีก ใช้ลูกปัดร้อยห้อยเป็นดอกดวงรายตลอด ๖. ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า
๗. เพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ คือ สนับเพลา สำหรับ สวมแล้วนุ่งผ้าทับ ๘. หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่
 
๙. ผ้าห้อย คือ ผ้า สีต่าง ๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครง ๑๐. กำไล ต้นแขนและปลายแขน เป็นกำไลสวมต้นแขน เพื่อขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัด
ทะแมงและเพิ่มให้สง่างามยิ่งขึ้น ๑๑. กำไล กำไลของโนรามัก ทำด้วยทองเหลือง ทำเป็น วงแหวน ใช้สวมมือ และเท้าข้างละหลาย ๆ วง
๑๒. เล็บ เป็นเครื่องสวมนิ้ว มือให้โค้งงาม คล้ายเล็บกินนร ๑๓. หน้าพราน เป็นหน้ากากสำหรับตัว "พราน" ซึ่ง เป็นตัวตลก ๑๔. หน้าทาสี หน้า
ผู้หญิง มักทาสีขาว
ท่ารำ
          ท่ารำของมโนห์รา ไม่ยึดหลักหรือรูปแบบ ทุกคณะสามรถรำได้ เพราะการรำโนรา เครื่องดนตรีจะบรรเลงตามท่ารำต้องรำให้เข้ากับ
จังหวะนั้น ๆ ด้วย เมื่อผู้รำจะเปลี่ยนท่ารำจากท่าหนึ่งไปยังอีกท่าหนึ่ง เครื่องดนตรีก็จะต้องเปลี่ยนเพลงไปด้วย การรำนั้นมีการรำที่เป็นแบบ
แผนมานานมากแล้ว โดยเฉพาะ อย่างท่ารำบทครูสอนรำ และบทประถม ก็ได้สืบต่อกันมาจนถึงรุ่นหลัง ท่ารำต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปบ้าง

การเคลื่อนไหว นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่าง เพราะการรำโนราจะดีได้นั้น ในขณะที่เคลื่อนไหวลำตัว หรือจะเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งก็ดี
เช่น การเดินรำ ถ้าหากส่วนเท้าเคลื่อนไหว ช่วงลำตัวจะต้องนิ่ง ส่วนบนมือและวงหน้าจะไปตามลีลาท่ารำ ท่ารำโนราที่ถือว่าเป็นแม่ท่ามาแต่
เดิมนั้นคือ " ท่าสิบสอง
ท่าสิบสอง โนราแต่ละคนแต่ละคณะอาจจะมีท่ารำไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจจะได้รับการสอนถ่ายทอดมาไม่เหมือนกัน (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว )
บางตำนานบอกว่ามีท่ากนก ท่าเครือวัลย์ ท่าฉากน้อย ท่าแมงมุมชักใย ท่าเขาควาย บางตำนานบอกว่ามีท่ายืนประนมมือ ท่าจีบไว้ข้าง ท่าจีบ
ไว้เพียงสะเอว ท่าจีบไว้เพียงบ่า ท่าจีบไว้ข้างหลัง ท่าจีบไว้เสมอหน้า
ท่ารำบทครูสอน เป็นท่าประกอบคำสอนของครูโนรา เช่น สอนให้ตั้งวงแขน เยื้องขาหรือเท้า สอนให้รู้จักสวมเทริด สอนให้รู้จักนุ่งผ้าแบบ
โนรา ท่ารำในบทครูสอนนี้นับเป็นท่าเบื้องต้นที่สอนให้รู้จักการแต่งกายแบบโนรา หรือมีท่าประกอบการแต่งกาย
ท่ารำยั่วทับ หรือ รำเพลงทับ เป็นการรำหยอกล้อกันระหว่างคนตีทับกับคนรำ โดยคนรำจะรำยั่วให้คนตีทับหลงไหลในท่ารำ เป็นท่ารำที่แอบ
แฝงไว้ด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้น โดยผู้รำจะใช้ท่ารำที่พิสดาร เช่น ท่าม้วนหน้า ม้วนหลัง ท่าหกคะเมนตีลังกา
ท่ารำรับเทริด หรือ รำขอเทริด เป็นการรำเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด เพราะการรำรับเทริดนิยมรำหลังจากมีการรำเฆี่ยนพรายหรือรำ
เหยียบลูกมะนาวเสร็จแล้ว ที่ต้องรำด้วยลีลาท่าที่สวยงาม นอกจากมีท่ารำแล้ว ยังมีคำพูดสอดแทรกโต้ตอบกันด้วย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามโนราห์เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมที่ดีงาม
ที่ควรรักษาเอาไว้ให้อยู่จนถึงรุ่นลูกหลานสืบไป

ประเพณีการแข่งเรือกอและและ

        ประเพณีการแข่งเรือกอและและ

     ประเพณีการแข่งเรือกอและและเรือยาวด้วยฝีพายหน้าพระที่นั่ง ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ กันยายน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์

ความสำคัญ

ในการเสด็จแปรพระราชฐานทุกครั้งจะทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียงทุกหมู่เหล่า ทรงวางโครงการน้อยใหญ่เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีความสงบสุขร่มเย็นด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาสต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจัดให้มีการแข่งขันเรือกอและอันเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวจังหวัดนราธิวาสถวายทอดพระเนตรเพื่อเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นและเป็นการฟื้นฟูประเพณีการแข่งเรือกอและด้วยฝีพาย หน้าพระที่นั่ง และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดการแข่งขันเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ อีกทั้งได้พระราชทานถ้วยรางวัลแก่ทีมเรือที่ชนะการแข่งขันด้วย

                                

สาระ

การแข่งขันใช้เรือกอและระยะทาง ๖๕๐ เมตร ผู้ควบคุมลำละ ๑ คน จำนวนฝีพายรวมทั้งนายท้ายไม่เกินลำละ ๒๓ คน และมีฝีพายสำรองไม่เกินลำละ ๕ คน การเปลี่ยนตัวในแต่ละเที่ยวทำได้เที่ยวละไม่เกิน ๕ คน ทั้งนี้ให้ผู้ควบคุมทีมประจำเรือแจ้งให้คณะกรรมการปล่อยเรือทราบ เรือที่เข้าแข่งขันทุกลำต้องถึงจุดเริ่มต้น (จุดปล่อยเรือ) ก่อนเวลาที่กำหนดแข่งขันในรอบนั้น หากไปช้ากว่ากำหนดเกิน ๑๕ นาทีถือว่าสละสิทธิ์จะปรับแพ้ในรอบนั้นได้ ก่อนการได้ยินสัญญาณ ณ จุดเริ่มต้นฝีพายทุกคนยกพายให้พ้นผิวน้ำ ยกเว้นนายท้ายเรือให้ใช้พายคัดท้ายเรือบังคับเรือให้หยุดนิ่ง และจะต้องวิ่งในลู่ของตน หากวิ่งผิดลู่หรือสายน้ำถือว่าผิดกติกาให้ปรับเป็นแพ้ในเที่ยวนั้น เรือที่เข้าถึงเส้นชัยก่อนลำอื่นโดยถือหัวเรือสุดเป็นการชนะการแข่งขันในเที่ยวนั้น การแข่งขันแบ่งเป็น ๔ รอบ รอบที่ ๑ และรอบที่ ๒ เป็นรอบคัดเลือก รอบที่ ๓ เป็นรอบรองชนะเลิศและรอบที่ ๔ เป็นรอบชิงชนะเลิศ

ประเพณีแห้ผ้าขึ้้้นธาตุ


ประเพณีแห้ผ้าขึ้้้นธาตุ

     งานบุญ ประเพณีการ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ. เมืองนครศรีธรรมราช ในวันนั้นพื้นที่อันกว้างของวัดพระมหาธาตุฯคลาคล่ำไปด้วยประชาชนทั้งชาวนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียงผู้ศรัทธาในพระบรมธาตุซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุมาร่วมแห่ผ้าขึ้นธาตุครั้งนี้เป็นจำนวนมาก
       การแห่ผ้าขึ้นธาตุ มีปราฎกครั้งใดไม่มีใครทราบ แต่มีหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ 2 ว่าครั้งนั้นกระทำกันในวันวิสาขบูชาหรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 กำหนดให้แห่ผ้าขึ้นธาตุในวันมาฆบูชาอีกวันหนึ่ง และได้ถือปฎิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบัน
              นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวประเพณีนี้ว่า ในสมัยโบราณประมาณปี พ.ศ. 1773 ขณะที่กษัตริย์สามพี่น้อง คือ พระเจ้าศรีโศกธรรมาโศกราช พระเจ้าจันทรภาณุและพระเจ้าพงษาสุระ กำลังสมโภชพระบรมธาตุ ก็พอดีพระบฎซึ่งเป็นผ้าแถบผืนใหญ่ยาวผืนหนึ่ง ถูกคลื่นซัดขึ้นมาที่ชายหาดอำเภอปากพนัง นครศรีธรรมราช ชาวบ้านได้เก็บผ้านั้นไปซักทำความสะอาดแล้วถวายพระเจ้าศรีธรรมาโคกราช พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศหาเจ้าของ จึงทรงทราบว่า ผู้เป็นเจ้าของคือกลุ่มชาวพุทธประมาณร้อยคนที่เดินทางมาจากหงสาวดี กำลังนำพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทที่ลังกา ทว่าระหว่างที่เดินมามากลางทะเลนั้นเกิดพายุเรือแตก มีผู้รอดชีวิตมาได้ราวสิบคนเท่านั้น พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราชทรงเสนอให้นำพระบฎนั้นไปห่มองค์พระธาตุเจดีย์เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุผู้เป็นเจ้าของผ้าพระบฎก็อนุโมทนาด้วยจากนั้นชาวนครศรีธรรมราชก็ได้ถือปฎิบัติเป็นต้นมา

      นักวิชาการสันนิษฐานว่าประเพณีแห่งผ้าขึ้นธาตุนี้ น่าจะได้รับแบบแผนปฎิบัติมาจากอินเดีย แฝงความคติความเชื่อที่ว่า การสร้างบุญกุศลที่ให้ผลสัมฤทธิ์นั้นจะต้องปฎิบัติต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธองค์จะเสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว การกราบไหว้บูชาสัญลักษณ์แทนพระองค์เช่นเจดีย์ หรือพระพุทธรูป ก็ให้ผลเสมือนได้กราบไหว้บูชาพรพุทธองค์ด้วยเช่นกัน
      เดินผ่านกลุ่มคนและพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามารุมล้อมเพื่อขายดอกไม้ ธูปเทียน จนได้เจอกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันซื้อผ้าไตรสีเหลืองที่มีพ่อค้ามาตัดขายกันเป็นเมตร สอบถามจนได้ความว่าทั้งวันนี้ใครที่อยากแห่ผ้าธาตุก็ทำได้เลย ไม่ต้องรอให้มีการรวมตัวเป็นคณะใหญ่ โดยซื้อผ้าจากพ่อค้าแม่ค้า ที่ขายอยู่โดยรอบ ไปแห่ทักษิณรอบพระบรมธาตุเจดีย์ 3 รอบก่อนนำเข้าไปผูกรอบเจดีย์รายที่วางตัวล้อมอบองค์ แตกต่างจากแบบเดิมที่ชาวบ้านจะนำผ้ามาตัดเย็บเป็นผืนยาวก่อนวาดภาพสีสันงดงาม ประดับประดาด้วยลูกปัดสีและดอกไม้ ชาวบ้านจะร่วมตัวกันแห่อย่างเอิกเกริก ปัจจุบันนอกจากพระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครแล้ว ยังเห็นในตามวัดต่างๆ ใน จ. นครศรีธรรมราชและพัทลุง

ถือศีลกินเจ



ถือศีลกินเจ

 

   ช่วงเวลา 
    การถือศีลกินเจของชาวตรังตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ของจีน (ตรงกับเดือน ๑๑ ของไทย ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมทุกปี) โรงศาลเจ้าทุกโรงจะกำหนดการกินเจพร้อมกัน การประกอบพิธีกรรมจะใช้สถานที่บริเวณโรงศาลเจ้าของแต่ละแห่ง

   ความสำคัญ
พิธีถือศีลกินเจจะเป็นพิธีที่มีความสำคัญดังนี้
       ๑. เป็นการบำเพ็ญศีล สมาทานกินเจ บริโภคแต่อาหารผักและผลไม้ เป็นการละเว้นการทำบาป ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต รักษาศีลทำจิตใจให้บริสุทธิ์ งดการเที่ยวเตร่ ไม่ดื่มของมึนเมา ผู้ศรัทธาที่กินเจจะสวมเสื้อผ้าสีขาวและสวดมนต์ทำสมาธิภาวนาแผ่เมตตาจิต ขอพรให้ตนเองและครอบครัว
      ๒. เป็นการสะเดาะเคราะห์ปัดเป่าความชั่วร้าย โรคภัยไข้เจ็บให้ออกไปจากตัวผู้ที่ถือศีลกินเจ
      ๓. เกิดความสามัคคีในหมู่ผู้ที่ศรัทธาที่เข้าร่วมพิธีถือศีลกินเจ ต่างก็ยิ้มแย้มเป็นมิตรมีไมตรีต่อกัน มีการ   บริจาคทรัพย์สำหรับเป็นค่าอาหารและค่าใช้จ่ายในโรงครัว เพื่อให้มีอาหารเพียงพอ มีอาสาสมัครมาช่วยงานทำงานครัวเป็นจำนวนมาก

สาระ 
พิธีกินเจ เป็นพิธีที่แสดงออกถึงการละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเว้นอบายมุขทั้งหมด และเป็นพิธีก่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่สมาชิกที่มาร่วมพิธี

งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ

งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ

 

 
ความสำคัญ
งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น โดยเฉพาะการขึ้นโขนชิงธง ที่นายท้ายเรือต้องถือท้ายเรือให้ตรงเพื่อให้นายหัวเรือคว้าธงที่ทุ่นเส้น ชัย โดยการขึ้นโขนเรือ

พิธีกรรม
การแข่งเรือของอำเภอหลังสวนเริ่มมีครั้งแรกในสมัยพระยาจรูญราชโภคากร เป็นเจ้าเมืองหลังสวน เมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นการลากพระชิงสายกันในแม่น้ำ โดยใช้เรือพายเป็นเรือดึงลากแย่งกัน วัด หรือหมู่บ้านใดมีเรือมากฝีพายดี ก็แย่งพระไปได้ อัญเชิญพระไปประดิษฐานไว้ในวัดที่ตนต้องการ มีงานสมโภชอย่างสนุกสนานในตอนกลางคืน รุ่งเช้าถวายสลากภัต
ต่อมาสมัยหลวงปราณีประชาชน อำมาตย์เอก ได้ดัดแปลงให้มีสัญญาณในการปล่อยเรือโดยใช้เชือกผูกหางเรือคู่ที่จะแข่ง ให้เรือถูกพายไปจนตึงแล้วใช้มีดสับเชือกที่ผูกไว้ให้ขาด
ลักษณะของเรือที่ใช้แข่งในปัจจุบันขุดจากไม้ซุง (ตะเคียน) ทั้งต้น ยาวประมาณ ๑๘-๑๙ เมตร มีธงประจำเรือติดอยู่ เรือแข่งจะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ฝีพาย ๓๐ คน และฝีพาย ๓๒ คน ฝีพายจะนั่งกันเป็นคู่ ยกเว้นนายหัวกับนายท้าย เรือแต่ละลำจะมีฆ้องหรือนกหวีดเพื่อตีหรือเป่าให้จังหวะฝีพายได้พายอย่าง พร้อมเพรียงกัน
รางวัลสำหรับการแข่งขันในสมัยก่อน เรือที่ชนะจะได้รับผ้าแถบหัวเรือ ส่วนฝีพายจะได้รับผ้าขาวม้าคนละผืน ต่อมาเป็นการแข่งขันชิงน้ำมันก๊าด เพื่อนำไปถวายวัด เพราะเรือส่วนใหญ่เป็นเรือของวัด และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา เป็นการแข่งขันเพื่อชิงโล่พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กติกาการปล่อยเรือและการเข้าเส้นชัยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ เช่น ในปัจจุบันมีการแบ่งสายน้ำโดยการจับสลาก กำหนดระยะทางที่แน่นอน คือ ๕๐๐ เมตร มีเรือเข้าร่วมแข่งขันทั้งเรือในท้องถิ่นจังหวัดชุมพรเอง และเรือจากต่างจังหวัด สถานที่คือวัดด่านประชากร


สาระ
แสดงถึงความสามัคคีและความพร้อมเพรียงที่แสดงออกในรูปของการกีฬา และเป็นการสืบทอดประเพณีอันยาวนานของท้องถิ่น 

งานเดือนสิบ (ประเพณีสารทเดือนสิบ)

 งานเดือนสิบ (ประเพณีสารทเดือนสิบ)




ความเป็นมา
               ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นงานบุญประเพณีของคนภาคใต้ ของประเทศไทย โดยเฉพาะ ชาวนครศรีธรรมราช ที่ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อ ซึ่งมาจากทางศาสนาพราหมณ์ โดยมีการผสมผสานกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาในภายหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพชนและญาติที่ล่วงลับ ซึ่งได้รับการปล่อยตัวมาจากนรก ที่ตนต้องจองจำอยู่ เนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยทำไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากนรกในทุกวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 เพื่อมายังโลกมนุษย์ โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง ที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังนรก ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10
           ช่วงระยะเวลาในการประกอบพิธีกรรม ของประเพณีสารทเดือนสิบ จะมีขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ ถึงแรม 15 ค่ำเดือนสิบของทุกปี แต่สำหรับวันที่ชาวใต้มักจะนิยมทำบุญกันมากคือ วันแรม 13-15 ค่ำ ประเพณีวันสารทเดือนสิบโดยในส่วนใหญ่แล้ว จะตรงกับเดือนกันยายน
           การทำบุญวันสารทเดือนสิบ  หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่า วันชิงเปรตนั้น ในเดือนสิบ )กันยายน)  มีการทำบุญที่วัด 
2 ครั้ง
                ครั้งแรก วันแรม    1 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันรับเปรต
                ครั้งที่สอง วันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันส่งเปรต


ขนมเดือนสิบ
           ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทน เรือ แพ ที่บรรพบุรุษใช้ข้ามห้วงมหรรณพ เหตุเพราะขนมพองนั้น แผ่ดังแพ มีน้ำหนักเบา ย่อมลอยน้ำ และขี่ข้ามได้
                           
           ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทน แพรพรรณ เครื่องนุ่งห่ม เหตุเพราะขนมลา มีรูปทรงดังผ้าถักทอ พับ แผ่ เป็นผืนได้  

                       

          ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทน ลูกสะบ้า สำหรับใช้เล่น ต้อนรับสงกรานต์ เหตุเพราะขนมบ้า มีรูปทรงคล้ายลูกสะบ้า การละเล่นที่นิยมในสมัยก่อน 
                   

          ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทน เงิน เบี้ย สำหรับใชัสอย เหตุเพราะรูปทรงของขนม คล้ายเบี้ยหอย        

                             
          ขนมกง (ไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทน เครื่องประดับ เหตุเพราะรูปทรงมีลักษณะ คล้ายกำไล แหวน                                                                                                            
                           

การตั้งเปรตและการชิงเปรต
        เสร็จจากการฉลองหมฺรับและถวายภัตตาหารแล้วกก็นิยมนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ ตามบริเวณวัด โคนไม้ใหญ่ หรือกำแพงวัด เรียกว่า "ตั้งเปรต" เป็นการแผ่ส่วนกุศล ใ้ห้เป็นสาธารณะทาน แก่ผู้ล่วงลับที่ไม่มีญาติหรือญาติไม่ได้มาร่วมทำบุญได้่ บางวัดนิยมสร้างร้านขึ้น เพื่อสะดวกแก่ตั้งเปรต เรียกว่า "หลาเปรต" (ศาลาเปรต) เมื่องตั้งขนม ผลไม้ และและเงินทำบุญเสร็จแล้ว ก็จะนำสายสิญจน์ที่ได้บังสุกุลแล้ว มาผูกเพื่อแผ่ส่วนกุศลด้วย เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ ก็จะเก็บสายสิญจน์ การชิงเปรตจะเริ่มหลังจากตั้งเปรตเสร็จแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรียกว่า "ชิงเปรต" ทั้งผู้ใหญ่และเด็กจะวิ่งกันเข้าไปแย่งขนมกันอย่างคึกคัก เพราะความเชื่อว่า ของที่เหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ถ้าใครได้ไปกินก็จะได้กุศลแรง เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว วัดบางแห่งสร้างหลาเปรตไว้สูง โดยมีเสาเพียงเสาเดียว เสานี้เกลาจนลื่นและชะโลมด้วยน้ำมัน เมื่อถึงเวลาชิงเปรต เด็กๆ แย่งกันปีนขึ้นไป หลายคนตกลงมาเพราะเสาลื่น และอาจถูกคนอื่นดึงขาพลัดตกลงมา กว่าจะมีผู้ชนะการปีนไปถึงหลาเปรต ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงมีทั้งความสนุกสนาน และความและความตื่นเต้น



                                                                   ที่มา : http://region7.prd.go.th